เชื่อว่าหลายคน คงเคยได้ยินโรคๆ หนึ่งที่คนไทยนิยมเป็นกัน โดยเฉพาะคนที่มีภาวะอ้วน นั่นคือ “โรคเบาหวาน” ซึ่งโรคนี้เมื่อเป็นแล้วจะไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ และบางรายอาจจะเป็นรุนแรงขึ้น เนื่องจากร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไป ทำให้หลายคนต้องกินยาจำนวนมากเพื่อบรรเทาอาการ แต่รู้หรือไม่ว่าโรคนี้สามารถควบคุมได้ด้วยกิจวัตรประจำวันอย่าง “การเดิน” ที่จะช่วยให้โรคเบาหวานบรรเทาลงได้
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่า การเดินนั้นสามารถช่วยให้คนที่เป็นโรคเบาหวานอาการดีขึ้นได้ และสำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคนี้การเดินก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ โดยการเดินสามารถลดความเสี่ยงและบรรเทาอาการของผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้มากถึงร้อยละ 60 ซึ่งหลายคนคงอาจจะยังไม่ทราบว่าโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นอย่างไร
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 คือ โรคเบาหวานที่เกิดในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 30 ปี และมักจะอ้วน หรือที่เรียกว่า non-insulin-dependent diabetes [NIDDM] ผู้ป่วยเบาหวานชนิดนี้อาจจะไม่มีอาการเหมือนผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เนื่องจากผู้ป่วยจะค่อยๆ เป็นโดยไม่รู้ตัว บางรายเกิดโรคแทรกซ้อนตั้งแต่วินิจฉัยได้ โดยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีสาเหตุมาจาการรับประทานอาหารเข้าไปสารอาหารจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล และถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดร่างกายก็จะขับฮอร์โมนชื่อว่า “อินซูลิน” เพื่อนำน้ำตาลเข้าไปในเซลล์ แล้วยังมีสาเหตุอื่นร่วมด้วยคือ ตับ กล้ามเนื้อ เซลล์ไขมัน มีความทนทานต่ออินซูลินเพิ่ม(insulin resistance) และความผิดปกติการหลั่งอินซูลิน (impaired beta-cell function) ของตับอ่อนนั่นเอง
อย่างที่เรารู้กันว่าโรคเบาหวานนั้น ถ้าเป็นแล้วไม่มีทางที่จะรักษาให้หายได้นอกจากจะกินยา Metformin และควบคุมน้ำตาล ควบคุมอาหาร ออกกำลังกายด้วยตัวเองเท่านั้น ซึ่งการเดินก็เป็นการออกกำลังกายวิธีหนึ่ง จากงานวิจัยของ ดร. โยชิโร ฮาตาโน ผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬาและสุขภาพ ของประเทศญี่ปุ่น พบว่า การเดินสามารถเผาผลาญจากการกินอาหารได้ถึง 20% และนอกจากนี้ยังช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานนั้นควรเดิน 9,900 – 10,000 ก้าวต่อวัน (3.3 กิโลเมตร) หรือ 70,000 ก้าวต่อสัปดาห์ (23.3 กิโลเมตร) การเดินในปริมาณเท่านี้จะช่วยให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานสามารถควบคุมน้ำตาลได้ง่ายขึ้น ซึ่งผู้ป่วยเบาหวานที่มีการทำงานของอินซูลิน (insulin) ลดลงนั้น พบว่าการปฏิบัติเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้นและร่างกายก็สามารถที่จะนำน้ำตาลไปใช้งานได้ดีขึ้น ซึ้งนั่นก็หมายถึงเราสามารถควบคุมโรคเบาหวานได้นั่นเอง และนอกจากนี้สำหรับคนปกติที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานการปฏิบัติเช่นนี้ก็ยังทำให้เป็นโรคนี้ยากขึ้นอีกด้วย