ก่อนอื่นเลยคุณต้องถามตัวเองก่อนเลยว่าความสุขของเรานั้นมันคืออะไรเพราะว่าความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันบางคนจีบหญิงติดก็มีความสุขบางคนเรียนได้เกรดเยอะก็มีความสุขบางคนแค่ได้นั่งอยู่กับธรรมชาติแล้วฟังเสียงต้นไม้ฟังเสียงลมฟังเสียงน้ำตกก็มีความสุขแล้ว
ซึ่งความสุขของแต่ละคนเรามีไม่เหมือนกันเพราะฉะนั้นแล้วเราจะต้องเป็นคนที่ตามตัวเองว่าเรามีความสุขเกี่ยวกับสิ่งไหนแล้วอย่างบางอย่างที่เราคิดว่ามันมีความสุขได้อย่างเช่นมีแฟนน่าตาดีหรือได้งานดีๆได้เงินเดือนสูงๆมีรถสวยๆขับมีบ้านหรูๆอยู่ก็จะมีความสุขแต่เราก็จะเห็นอยู่เป็นประจำว่าจะมีหลายคนที่มีสิ่งเหล่านั้นครบแล้วแต่เขาทำไมดูไม่มีความสุขสักที
เมื่อปี2010ทางมหาลัยที่อเมริกาเขาได้ทำการวิจัยเขานำเอาคนหลากหลายอาชีพที่หลากหลายมากเลยแล้วเขาก็จะดูว่าเงินเดือนของแต่ละคนนั้นมันทำให้พวกเขามีความสุขมากน้อยแค่ไหนปรากฏว่ามันเป็นแบบนี้พอเงินเดือนเยอะขึ้นเราก็จะมีความสุขมากขึ้นแต่พอมาถึงจุดๆหนึ่งอย่างที่อเมริกาเขาจะนับเงินเดือนเป็นปีก็คือรายได้รายปีเฉลี่ยที่75,000เหรียญต่อปีหรือหมอคำนวณเป็นเงินไทยแล้วประมาณ218,000บาทต่อปีหลังจากนั้นค่าความสุกข์มันจะไม่ได้เพิ่มแล้วมันจะเท่าๆเดิม
เพราะฉะนั้นต่อให้คุณรวยมากขึ้นเท่าไหร่มันพอมาถึงจุดๆหนึ่งแล้วเงินที่มันมากขึ้นมันจะไม่ได้ทำให้คุณมีความสุกข์มากขึ้นแล้วแต่ว่ามันจะเป็นความหมายของชีวิตการที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นหรือว่าความสุกข์อื่นๆที่จะมาแทนจำนวนเงินนั้นมากกว่าแล้วก็มีจิตวิทยาเชิงบวกที่เขาได้พูดถึงเรื่องความสุกข์ของแบ่งออกเป็นสองประเภทฮีโดนิคมันแปลว่าความสุกข์เหมือนกัน
โดยมันจะเป็นความสุกข์ที่มันจะมาเฉพาะเมื่อเราได้สิ่งๆหนึ่งเช่นอย่างที่เราได้บอกไปในตอนต้นเวลาที่เราได้กระเป๋าสวยๆหรือเวลาที่เราได้จับมือแฟนหรืออะไรแบบนี้มันก็จะมีความสุกข์แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้นแต่พอเรามีความทุกข์เข้ามาความสกข์ตรงนี้มันก็จะหายไปไอฮีโดบิโนอิ่งมันจะมาเป็นช่วงๆ
นอกจากนี้ความสุกข์ที่มันดูเหมือนเป็นพื้นฐานของเราว่าเราได้ใช้ชีวิตอย่างที่เราต้องการไหมเรามีเป้าหมายในชีวิตยังไงแล้วเรากำลังทำสิ่งนั้นอยู่หรือเปล่าความสัมพันธุกับคนรอบข้างเราเป็นยังไงตรงนี้มันจะเป็นความสุกข์คือหมอจะชอบใช้คำของหมอเองคือความสุกข์ของเรามันเป้นความสุกข์แบบเป้าหมายหรือเป็นความสุกข์ที่มันเป็นไลฟ์สไตล์
ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย วิธีเล่นหวยหุ้นมือใหม่